วิธีการอ่าน Tab เบื้องต้น (สำหรับมือใหม่)
Tab หรือ Tablature ก็คือรูปแบบของสัญลักษณ์ที่ใช้สำหรับการบันทึก
และอ่านเสียงของ
เครื่องดนตรีที่เป็นพวกเครื่องสายโดยเฉพาะ อันได้แก่ กีตาร์ หรือ Ukulele มีลักษณะที่
คล้ายกับโน๊ตดนตรีมาตราฐาน(Standard Notation/Score) ที่บันทึกลงในบรรทัด 5 เส้น
แต่ Tab มีข้อดีกว่าตรงที่ว่านอกจากจะบอกว่าต้องเล่นโน๊ตเสียงอะไร? จังหวะเป็นยังไง? แล้ว
Tab ยังบอกตำแหน่งในการวางนิ้ว
และรวมไปถึงรายละเอียดของเทคนิคที่ใช้การเล่นอีกด้วย
จึงทำให้เราสามารถอ่านและเล่นตาม Tab ได้ง่ายกว่าโน๊ตมาตราฐาน
1. เส้นแนวนอนบน Tab ก็คือตัวแทนของสายบน Ukulele
Tab สำหรับ Ukulele นั้นมีลักษณะเดียวกันกับ
Tab ของกีตาร์
จะแตกต่างกันก็ตรงที่ Ukulele มี
เพียง 4 สาย ในขณะที่กีตาร์จะมี 6 สาย
แต่วิธีการอ่านและสัญลักษณ์ที่ใช้ส่วนใหญ่ก็จะเหมือนกัน
เส้นแนวนอนของ
Tab 4 เส้น
จะแสดงถึงสายของ Ukulele ทั้ง 4 สายนั่นเอง ถ้าเราวาง Ukulele
หงายเอาไว้โดยให้ส่วนหัวชี้ไปด้านซ้ายมือ
(ดังรูป)
เส้นแนวนอนเส้นบนสุดของ
Tab ก็จะแสดงถึงสายที่
1 ของ Ukulele ซึ่งหากตั้งเสียงตามมาตราฐาน
C Tuning เมื่อดีดสายเปล่าก็จะเป็นเสียง
A เส้นแนวนอนเส้นที่สองถัดมาก็จะแทนสายที่
2 เสียง E
ส่วนเส้นแนวนอนเส้นที่สามก็จะแทนสายที่
3 เสียง C และเส้นแนวนอนเส้นสุดท้ายก็จะแทนสายที่
4
ซึ่งก็คือเสียง
G ตามลำดับ
2. การแบ่งห้องบน Tab และตัวเลขอัตราจังหวะของ (Time Signature)
Tab ในแต่ละบรรทัดจะแบ่งออกเป็นห้อง(Bar) เพื่อให้อ่านได้ง่าย
โดยจะกั้นแต่ละห้องด้วยเส้นแนวตั้ง
เล็ก ๆ
โดยมีตัวเลขกำกับเอาไว้ในแต่ละห้องเพื่อให้ง่ายต่อการอ้างถึง (ดูตัวเลขสีแดง)
ซึ่งในบางครั้งก็
อาจไม่มีตัวเลขกำกับเอาไว้ทุกห้องเพื่อความสวยงามและไม่แกะกะสายตา
จึงอาจจะแสดงตัวเลขห้อง
กำกับเอาไว้เพียงบางห้องเท่านั้น
ส่วนเจ้าตัวเลข
4/4 ที่เขียนกำกับไว้ในห้องที่
1 นั้นจะแสดงให้ทราบถึงอัตราจังหวะ
(Time Signatiure)
ของเพลงนั้น
ๆ ว่าเล่นด้วยอัตราจังหวะแบบใด
ถ้าไม่มีการเขียนกำกับไว้ที่ห้องอื่นอีกก็ให้ถือว่าให้เล่น
อัตราจังหวะเดียวกับห้องที่ผ่านมา
เลข 4 ตัวบนแสดงถึงจำนวนของจังหวะ(Beat) ที่มีในหนึ่งห้องในที่
นี้ก็คือ
“มี 4 จังหวะในหนึ่งห้อง” เลข 4 ตัวล่างแสดงถึงประเภทของโน๊ตที่ใช้เดินจังหวะ
ซึ่งในที่นี้เลข 4
ตัวล่างแสดงว่าใช้
Quater Note หรือ
โน๊ต 1 จังหวะในการเดินจังหวะของเพลง
สำหรับมือใหม่อาจ
ยังไม่ต้องกังวลกับเรื่องอัตราจังหวะนี้นะครับ
เดี๋ยวจะพาให้งงกันไปใหญ่ เพียงแค่พอให้รู้ว่ามันคือ
ตัวเลขแสดงอะไรก็พอ
3. ตัวเลขที่อยู่บนเส้นแนวนอนของ
Tab จะบอกให้รู้ว่าต้องกดที่ช่องใด
และดีดที่สายใด
ตัวเลขที่อยู่บนเส้นทั้ง
4 ของ Tab จะบอกถึงตำแหน่งช่องหรือเฟลต
(Fret) บนคอ Ukulele ที่จะต้องกด
และดีดที่สายนั้น
ๆ นั่นเอง เช่นจากรูปข้างบน ในห้องที่ 1 มีเลข 0, 2, 4 และ 5 อยู่บนเส้นที่แสดงถึง
สายที่ 3 ของ Ukulele ก็จะสามารถอ่าน
Tab ออกมามีความหมายดังนี้ครับ
- เลข 0 อยู่บนเส้นที่ 3 ก็แปลว่า
ไม่ต้องกดอะไรเลยบนสายที่ 3 แล้วก็ดีดสายที่
3 หนึ่งครั้ง
(ซึ่งก็คือให้ดีดสายที่ 3 เปล่า ๆ หนึ่งครั้งนั้นเอง)
- เลข 2 อยู่บนสายที่ 3 ก็แปลว่า ให้ใช้นิ้วกดสายที่
3 ในช่องที่
2 แล้วก็ดีดสายที่
3 หนึ่งครั้ง
- เลข 4 อยู่บนสายที่ 3 ก็แปลว่า
ให้ใช้นิ้วกดสายที่ 3 ในช่องที่
4 แล้วก็ดีดสายที่
3 หนึ่งครั้ง
- เลข 5 อยู่บนสายที่ 3 ก็แปลว่า
ให้ใช้นิ้วกดสายที่ 3 ในช่องที่
5 แล้วก็ดีดสายที่
3 หนึ่งครั้ง
ส่วนเส้นที่แสดงถึงสายอื่น
ๆ ไม่มีตัวเลขอะไรอยู่เลย ก็แสดงว่าไม่ต้องกดหรือดีดในสายนั้น ๆ เลยครับ
ซึ่งหมายความว่าในห้องแรกนี้สายอื่น
ๆ ไม่ได้ถูกเล่นนั่นเอง
ถ้าเราลองอ่าน
Tab แล้วเล่นตามในห้องที่
1 เราก็จะเล่นออกมาเป็นโน๊ต
4 ตัว คือ
โด, เร, มี, ฟา ครับ
ใครลองแล้วไม่ได้ตามนี้
แสดงว่าอ่าน Tab ผิดแล้วล่ะครับ
ลองกลับไปค่อย ๆ อ่านทวนแล้วลองใหม่
อีกทีนะครับ
ในห้องที่
2 จะแสดงตัวอย่างตัวเลขที่อยู่บนเส้น
Tab ที่ให้เล่นโน๊ตหลายตัวพร้อม
ๆ กัน ตัวอย่างแรก
มีเลข 3 อยู่บนสายที่ 1 ก็แปลว่าให้กดช่องที่ 3 บนสายที่หนึ่ง และมีเลข 0 อยู่บนสายที่ 2, 3 และ 4
ก็หมายถึงให้ดีดสายเปล่าสายที่
2, 3 และ 4 ตำแหน่งตัวเลขทั้งหมดอยู่ตรงกันในแนวตั้ง
ก็คือให้เล่นไป
พร้อม ๆ
กันในจังหวะเดียวกัน ซึ่งในที่นี้ก็คือการจับคอร์ด C แล้วดีดสายทั้ง 4 เส้นพร้อม ๆ กันนั่นเอง
ครับ
ถัดมาก็เป็รูป Tab ที่ให้จับคอร์ด
Am, Dm และ G7 แล้วดีดสายทั้ง 4 เส้นพร้อม ๆ กันตามลำดับ
4. เส้นกำกับจังหวะของ Tab จะบอกให้รู้ว่าต้องเล่นเสียงนั้น
ๆ นานเท่าใด
นอกจากตัวเลขบนแต่ละเส้นของ
Tab จะบอกให้เรารู้ว่าจะต้องดีดสายใดช่องไหนแล้ว
ยังสามารถบอก
ความยาวของเสียงที่เล่นในแต่ละโน๊ตได้ด้วย
“เส้นกำกับจังหวะ”
ห้องที่ 1 : มีเลข 3 อยู่บนสายที่ 1 แล้วไม่มีเส้นกำกับจังหวะใดใด
ด้านล่าง หมายความว่ากดสายที่ 1
! ในช่องที่ 3 และให้ดีดสาย 1 ให้เสียงดังนานเป็นเวลา 4 จังหวะ (ดีดแล้วนับ1...2...3...4...)
! เปรียบเทียบได้กับ “โน๊ตตัวกลม” ในระบบโน๊ตมาตราฐาน
ห้องที่ 2 : สังเกตดูจะมีเส้นกำกับจังหวะ
เป็นขีดเส้นสั้น ๆ ในแนวตั้ง อยู่ข้างใต้บรรทัดของ Tab
! หมายความว่ากดสายที่ 1 ในช่องที่ 3 และให้ดีดสาย 1 ให้เสียงดังนานเป็นเวลา 2 จังหวะ
! (ดีดแล้วนับ1...2...) เปรียบเทียบได้กับ
“โน๊ตขาว” ในระบบโน๊ตมาตราฐาน
ห้องที่ 3 : สังเกตดูจะมีเส้นกำกับจังหวะ
เป็นขีดเส้นยาว ๆ ในแนวตั้ง อยู่ข้างใต้บรรทัดของ Tab
! หมายความว่ากดสายที่ 1 ในช่องที่ 3 และให้ดีดสาย 1 ให้เสียงดังนานเป็นเวลา 1 จังหวะ
! (ดีดแล้วนับ1...) เปรียบเทียบได้กับ
“โน๊ตดำ” ในระบบโน๊ตมาตราฐาน
ห้องที่ 4 : สังเกตดูจะมีเส้นกำกับจังหวะ
เป็นขีดเส้นยาว + เส้นเขบ็ด 1 เส้น
อยู่ข้างใต้บรรทัดของ Tab
! หมายความว่ากดสายที่ 1 ในช่องที่ 3 และให้ดีดสาย 1 ให้เสียงดังนานเป็นเวลา 1/2 จังหวะ
! (ดีดให้ได้ 2 ครั้งขณะนับ 1...) เปรียบเทียบได้กับ
“โน๊ตเขบ็ด
1 ชั้น” ในระบบโน๊ตมาตราฐาน
ห้องที่ 5 : สังเกตดูจะมีเส้นกำกับจังหวะ
เป็นขีดเส้นยาว + เส้นเขบ็ด 2 เส้น
อยู่ข้างใต้บรรทัดของ Tab
! หมายความว่ากดสายที่ 1 ในช่องที่ 3 และให้ดีดสาย 1 ให้เสียงดังนานเป็นเวลา 1/4 จังหวะ
! (ดีดให้ได้ 4ครั้งขณะนับ 1...) เปรียบเทียบได้กับ
“โน๊ตเขบ็ด
2 ชั้น” ในระบบโน๊ตมาตราฐาน
ห้องที่ 6 : ถัดมาหากไปเจอที่เส้นกำกับจังหวะ
มีเครื่องหมาย “จุด” ( . ) อยู่ด้วย
จะหมายความว่า
! ให้เพิ่มความยาวของเสียงที่เล่นไปอีกครึ่งหนึ่ง
เช่นแต่เดิมเล่นเป็น 1 จังหวะ
ก็ให้เพิ่ม
! ความยาวของเสียงไปอีกครึ่งหนึ่งก็คือ
1/2 จังหวะ
รวมแล้วโน๊ตนี้ต้องเล่นทั้งหมดนาน
! 1 + 1/2 จังหวะนั่นเอง
แล้วแต่ว่าสัญลักษณ์ “จุด” นี้จะไปอยู่คู่กับเส้นกำกับจังหวะอะไร
! ก็บวกคำนวณกันเอาเองละกันนะครับ
และมียังลักษณะการเล่นบางประเภทที่มีการ
“คร่อมจังหวะ” คือ
โดยปกติแล้วในหนึ่งจังหวะ
! เราอาจจะจะเล่น 1, 2, หรือ 4 โน๊ต
แต่ในบางเพลงกำหนดให้เล่นเป็น 3
โน๊ตในหนึ่งจังหวะ
(หรืออาจจะเป็น 3 โน๊ตใน 1/2 จังหวะ) เรียกว่า “Triplet” สัญลักษณ์จะมีขีดด้านล่างเชื่อมต่อ
! กันและมีเลข 3 กำกับเอาไว้)
ซึ่งการเล่นโน๊ตในลักษณะแบบนี้อาจจะยากไปสำหรับมือใหม่
! แต่หากเล่นได้แล้วจะทำให้เพลงที่เราเล่นมีความไพเราะและสวยงามขึ้นอีกมากมาย
5. สัญลักษณ์ การหยุด ของ Tab เพื่อให้รู้ว่าเมื่อไรต้องหยุดเล่น
และหยุดนานเท่าใด
ในการเล่นเพลงแต่ละเพลงนั้นไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องเล่นให้เกิดเสียงโน๊ตอยู่ตลอดเวลานะครับ
ดนตรีจะเป็นดนตรีและมีความสวยงามได้
การหยุดเล่นในบางจังหวะนั้นก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิด
ความไพเราะของเพลง
บน Tab ก็จะมีสัญลักษณะให้รู้ว่าเมื่อใดต้องหยุดเล่นโน๊ต
และหยุดนานเท่าใด
ห้องที่ 1 : ถ้าเห็นสัญลักษณ์เป็นขีดทึบตามแนวนขวางเหมือนเครื่องหมายลบ
(-) อยู่ใต้เส้น Tab ของ
! สายที่ 2 นั่นคือสัญลักษณะที่แสดง “การหยุด” เล่นนาน 4 จังหวะ
ห้องที่ 2 : แต่ถ้าเจ้าสัญลักษณ์เป็นขีดทึบตามแนวนขวางเหมือนเครื่องหมายลบ
(-) ไปอยู่บนเส้น Tab
ของสายที่
3 นั่นคือสัญลักษณะที่แสดง
“การหยุด” เล่นนาน 2 จังหวะ
ห้องที่ 3 : สัญลักษณะที่เห็นอยู่ท้ายสุดของห้องที่
3 คือสัญลักษณะที่แสดง
“การหยุด” เล่น
! นาน 1 จังหวะ
ห้องที่ 4 : สัญลักษณะที่เห็นอยู่ท้ายสุดของห้องที่
4 คือสัญลักษณะที่แสดง
“การหยุด” เล่น
! นาน 1/2 จังหวะ
ห้องที่ 5 : สัญลักษณะที่เห็นอยู่ท้ายสุดของห้องที่
5 คือสัญลักษณะที่แสดง
“การหยุด” เล่น
! นาน 1/4 จังหวะ
6. สัญลักษณ์แสดงเทคนิคการเล่น
เพื่อให้รู้ว่าใช้เทคนิคการเล่นอย่างไรในเสียงนั้น ๆ
นอกจากการอ่าน
Tab จะทำให้เรารู้ว่าเล่นเสียงไหน
ที่ตำแหน่งใด นานเท่าใด ต้องหยุดเมื่อใด
และหยุดนานเท่าไรแล้ว
ยังมีสัญลักษณ์บน Tab ที่จะช่วยบอกให้ผู้อ่านได้รู้ว่าโน๊ตหรือเสียงนั้น
ๆ
ใช้เทคนิคการเล่นอย่างไร
เพื่อให้สามารถได้เสียงที่เล่นออกมา และได้อารมณ์เพลง (Feeling)
เหมือนกับต้นฉบับ
สัญลักษณ์เทคนิคการเล่นเบื้องต้นที่มือใหม่ควรรู้ได้แก่...
ห้องที่ 1 : ถ้าเห็นสัญลักษณ์เป็นเส้นโค้งเชื่อมต่อกันข้างบนระหว่างตัวเลข
2 ตัว
แสดงว่าให้เล่นโดย
! ใช้เทคนิค Hammer On บางครั้งอาจจะมีตัวอักษรย่อ
HO กำกับเอาไว้ให้ด้วย
ซึ่งวิธีการ
! เล่นก็คือ
เมื่อเล่นโน๊ตแรกแล้ว ในจังหวะต่อไปให้ใช้นิ้วกดลงไปในตำแหน่งของโน๊ตตัวที่
! สองโดยไม่ต้องดีด
นั่นก็แสดงว่าทั้งสองโน๊ตจะต้องถูกกดอยู่บนสายเส้นเดียวกัน
! และโน๊ตตัวที่สองจะต้องมีเสียงสูงกว่าเสียงแรกเสมอ
! จากรูปตัวอย่างในห้องที่ 1 ให้เรากดสายที่ 1 ในช่องที่ 3 แล้วดีดสายที่ 1 ในจังหวะแรก
! (โดยที่นิ้วยังคงกดเสียงแรกค้างไว้)
ในจังหวะถัดมาให้กดสายที่ 1 ในช่องที่
5 โดยไม่ต้อง
! ดีดสายที่ 1 อีกครั้ง
!
ห้องที่ 2 : แต่ถ้าโน๊ตตัวแรกที่เล่นสูงกว่าโน๊ตตัวที่สอง
เทคนิคนี้จะเรียกว่า Pull Off บน Tab จะใช้รูป
! สัญลักษณ์เป็นเส้นโค้งเชื่อมต่อกันข้างบนเหมือนกัน
และอาจจะมีอักษรย่อ PO กำกับไว้ให้
! วิธีเล่นเทคนิคนี้จะตรงกันข้ามกับเทคนิคแรก
คือให้เราวางนิ้วเอาไว้ก่อนทั้งสองโน๊ตแล้วให้
! ดีดโน๊ตแรกก่อนในจังหวะที่หนึ่ง
ในจังหวะถัดไปให้ยกนิ้วที่กดสายโน๊ตเสียงแรกออกเพื่อให้
! เกิดเสียงของโน๊ตตัวที่สองโดยไม่ต้องดีด
! จากรูปตัวอย่างในห้องที่ 2 ให้เราวางนิ้วกดสายที่ 1 ในช่องที่ 3 และช่องที่ 5 เอาไว้ก่อน
! แล้วดีดสายที่ 1 ในจังหวะแรก
ในจังหวะถัดมาให้ยกนิ้วที่กดสายที่ 1 ช่องที่ 5 ออก
เพื่อ
! ให้เหลือนิ้วที่กดช่องที่ 3 ไว้เพียงช่องเดียว
โดยไม่ต้องดีดสายที่ 1 อีกครั้ง
ห้องที่ 3 : หากระหว่างตัวเลขสองตัวบนเส้น
Tab มีเส้นเฉียงขีดเอาไว้
จะเป็นสัญลักษณ์ว่าต้องการ
! ให้เล่นด้วยเทคนิค Slide ครับ
ซึ่งมีอยู่ 2 แบบ คือ
ถ้าเป็นเส้นเฉลัยงขีดขึ้นจะให้เล่นด้วย
! เทคนิค Slide Up เมื่อดีดโน๊ตแรกแล้วให้ลากนิ้วไปหาโน๊ตที่
2 แล้วดีดโน๊ตที่
2 อีกที
ซึ่ง
! โน๊ตตัวที่ 2 จะเป็นโน๊ตที่มีเสียงสูงขึ้นเสมอ
แต่ถ้าเป็นเส้นเฉียงขีดลงจะให้เล่นด้วยเทคนิค
! Slide Down ก็เป็นในทางกลับกัน
คือให้ดีดโน๊ตแรกที่เป็นเสียงสูงก่อน แล้วค่อยลากนิ้ว
! มายังโน๊ตตัวที่ 2 ซึ่งมีเสียงต่ำกว่า
แล้วดีดโน๊ตที่ 2 อีกครั้ง
! จากรูปตัวอย่างในห้องที่ 3 ให้เราวางนิ้วกดสายที่ 1 ในช่องที่ 3 แล้วดีดสายที่ 1 ในจังหวะ
! แรก
จากนั้นให้ลากเลื่อนนิ้วที่กดสายหนึ่งช่องที่ 3 อยู่นั้นไปยังช่องที่ 5 แล้วจึงดีดสายที่ 1
! อีกครั้งเป็นการเล่นเทคนิค Slide Up ถัดมาก็เป็น
Slide Down โดยเริ่มจากให้วางนิ้วไว้
! สายที่ 1 ช่องที่ 5 ก่อน แล้วดีดสายที่ 1 ในจังหวะแรก
จากนั้นก็ให้ลากนิ้วที่กดช่องที่ 5 อยู่
! ไปยังช่องที่ 3 แล้วดีดสายที่ 1 อีกครั้งครับ
ห้องที่ 4 : สัญลักษณะที่เห็นอยู่ในห้องที่
4 จะคล้าย
ๆ กับเทคนิค Slide ในห้องที่
3 แต่จะมีเส้นโค้ง
ๆ
! เชื่อมโยงระหว่างข้างบนตัวเลข
2 ตัวเพิ่มขึ้นมา
วิธีการเล่นก็จะเหมือนกับเทคนิค Slide
! แต่จะต่างกันตรงที่ในจังหวะโน๊ตที่
2 นั้นไม่ต้องดีด
ห้องที่ 5 : หากว่าด้านล่างตัวเลขมีสัญลักษณะเป็นเส้นโค้งเชื่อมต่อมายังจังหวะถัดไป
คือสัญลักษณ์
! ที่แสดงการเล่นด้วยเทคนิค Link วิธีการเล่นก็คือเมื่อเล่นโน๊ตแรกแล้ว
ให้กดนิ้วแช่เอาไว้
! อย่างนั้นจนครบเวลาของจังหวะที่
2 ด้วย
และหากว่ามีสัญลักษณ์ Link ติดกันหลาย
ๆ อัน
! ก็ให้กดแช่เอาไว้ให้เสียงของโน๊ตนั้น
ๆ ดังยาวจนครบเวลาของจังหวะที่กำหนด
!
! จากรูปตัวอย่างในห้องที่ 5 ให้เราวางนิ้วกดสายที่ 1 ในช่องที่ 3 แล้วดีดสายที่ 1 และนับ
! หนึ่งจังหวะ
แลยังคงกดนิ้วแช่เอาไว้ให้เสียงของโน๊ตดังยาวไปอีกหนึ่งจังหวะด้วย ก่อน
! ที่จะเปลี่ยนนิ้วมากดสายที่
1 ช่องที่ 5 แล้วดีดสายที่ 1 เพื่อเล่นโน๊ตถัดมาหนึ่งจังหวะ
และ
! กดนิ้วแช่เอาไว้ให้เสียงของโน๊ตดังยาวไปอีกหนึ่งจังหวะเช่นกัน
ห้องที่ 6 และ ห้องที่ 7 :
! แสดงให้เห็นสัญลักษณะบน Tab ที่แสดงการเล่นซ้ำ (Repeat) ครับ
ในห้องที่ 6 จะเป็นรูป
! สัญลักษณะแสดงถึงจุดเริ่มต้นของการเล่นซ้ำ
(Repeat Open) ส่วนในห้องที่
7 จะเป็นรูป
! สัญลักษณะแสดงถึงจุดสิ้นสุดของการเล่นซ้ำ
(Repeat Close) ซึ่งก็หมายความว่าทุกห้อง
! ที่อยู่ระหว่างรูปสัญญลักษณ์ทั้งสองนี้ให้เล่นซ้ำอีกหนึ่งรอบ
หากจะให้เล่นซ้ำมากกว่าหนึ่ง
! รอบก็จะมีตัวเลขจำนวนรอบเขียนกำกับเอาไว้
เช่น ถ้าให้เล่นซ้ำ 3 รอบก็จะระบุไว้เป็น
X 3
เพียงเข้าใจวิธีการอ่าน
Tab เบื้องต้น
5 ข้อนี้
ก็เพียงพอแล้วสำหรับผู้เริ่มต้นฝึกหัดเล่น Ukulele ที่จะ
สามารถอ่าน
แล้วเล่นตาม Tab นั้น
ได้แล้วครับ ถึงแม้ว่าสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่อยู่บน Tab จะมีอีกเยอะ
แต่ส่วนใหญ่ก็มักไม่ค่อยได้พบเห็นกันบ่อยนักสำหรับ
Tab เพลงทั่ว
ๆ ไป และความรู้ในการอ่าน Tab
พื้นฐานนี้ก็จะทำให้เราสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการอ่าน
Tab ที่มีรายละเอียด
และมีความซับซ้อนที่
มากขึ้นไปกว่านี้ได้ครับ
อ่านไปอ่านมาอาจจะเริ่ม
“งง” อย่าเพิ่งท้อนะครับ
ลองพยายามค่อย ๆ อ่านทำความเข้าใจกันไป และ
หากลองเล่นตามไปด้วยจะได้ฟังเสียงที่แตกต่างกันในเทคนิคการเล่นแต่ละแบบ
ก็จะยิ่งทำให้เข้าใจได้
ง่ายมากยิ่งขึ้นครับ...
เวลาหัดเล่นจาก Tab ในความเป็นจริงแล้ว
ก็ไม่ถึงขนาดกับต้องซีเรียสนั่งนับ
จังหวะกันให้ได้ตรงเป๊ะ
ๆ หรอกครับ หากมีต้นฉบับเพลงให้ฟังเราก็ฟังซ้ำ ๆ หลาย ๆ รอบก็จะรู้และจับ
จังหวะได้เอง
ในตอนเริ่มต้นฝึกเล่นจาก Tab ให้ใจเย็น
ๆ ครับค่อย ๆ หัดเล่นไปทีละห้องทีละห้อง อย่า
เพิ่งใจร้อนรีบเล่นให้ได้จบเพลงเร็ว
ๆ อาจจะเริ่มจากเล่นจังหวะช้า ๆ ก่อนก็ได้ พอห้องไหนเล่นได้คล่อง
และเคยชินกับการวางนิ้วและการดีดแล้ว
ก็ค่อย ๆ เพิ่มความเร็วในการเล่นให้ตรงกับต้นฉบับ เมื่อได้
แล้วก็ให้ลองเปิดเพลงต้นฉบับ
ลองเล่นไปพร้อม ๆ กับเพลงต้นฉบับดู อาจจะทำให้ได้รู้ว่าเราอาจจะมี
ข้อแตกต่างในจุดไหนบ้าง
ก็ค่อย ๆ ปรับแก้กันไป หรือบางทีเราก็อาจจะอยากเล่นในรูปแบบของเรา
ตามอารมณ์
และความรู้สึกของเราเองก็ได้ โดยอาศัย Tab และเพลงต้นฉบับเป็นเพียงแนวทางเพื่อให้
หัดเล่นได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้นเท่านั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น